Wednesday, August 8, 2012

Aleppo: I'll pray for you - 1


เพื่อนชาวซีเรียที่ฉัน keep contact ไว้ เล่าทางอีเมล์ถึงสถานการณ์ในประเทศเมื่อวันก่อน ฟังดูแล้วไม่ต่างอะไรกับหนัง action ที่ยิงกันอย่างบ้าละห่ำ ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป ถนน ผู้คน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ คือความหวัง แม้นี่อาจเรียกได้ว่า เป็นหายนะจากภัยสงครามกลางเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ แต่มันไม่ได้ทำลายความหวังในตัวเขาให้มลายหายไปได้

การต่อสู้ได้ลุกคืบไปทางเหนือ อย่าง Aleppo เมืองเศรษฐกิจสำคัญ ฉันอดใจหายไม่ได้เมื่อมันบานปลายไปสู่หนึ่งในเมืองที่ฉันชื่นชอบและไม่ด้อยไปกว่าเมืองหลวง Aleppo เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางสายไหม และเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป นอกจากนี้ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนในส่วนของเมืองเก่าให้เป็นมรดกโลก เพราะฉะนั้น ที่นี่จึงเป็นจุดหล่อหลอมของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้คนที่สัญจรเข้ามาค้าขาย ที่ประจักษ์ชัดในสายตาและการลิ้มลองของฉัน คงหนีไม่พ้นเรื่องอาหาร ที่มีการผสมผสานและดัดแปลง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของ Aleppean Cuisine

ระหว่างทางจาก Homs ไป Aleppo ฉันเจอและพูดคุยกับเพื่อนร่วมทางจากอังกฤษและแคนาดา พวกเขาว่าอยากลองขึ้นรถเมล์ดู เพราะจากแผนที่ดูเหมือนว่าสถานีขนส่งไม่น่าจะไกลจากโรงแรมที่พวกเราจองไว้ ฉันจึงขอร่วมขบวนด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็ใจดีเกินกว่าจะปฏิเสธได้ นอกจากนี้ พวกเราได้ผูกมิตรกับชายพื้นเมืองคนหนึ่ง ซึ่งเขาอาสาจะช่วยพาเราขึ้นรถเมล์เมื่อถึง Aleppo และพอเขารู้ว่าหนึ่งในกลุ่มของเรามาจากแคนาดา เขาทั้งชวนเพื่อนใหม่ชาวแคนาดาคุยและสอบถามถึงเรื่องการสมัครขอ green card เป็นการใหญ่ หนุ่มแคนาดาก็ไม่รู้จะให้ข้อมูลยังไง เพราะไม่ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับ immigration ซะด้วย แต่ก็พยายามเต็มที่ที่จะตอบคำถามเท่าที่รู้หรือที่เคยได้ยินมา


เห็นได้ชัดว่าชายพื้นเมืองผู้นี้เป็นคนมีการศึกษา ดูได้จากการแต่งตัวและภาษาอังกฤษที่ฉะฉาน เขาเพียงแต่อยากจะหาโอกาสและอนาคตที่ดีกว่าให้ตัวเองและครอบครัว เขาเล่าว่าเขายื่นเรื่องไปที่แคนาดาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ได้แต่หวังว่าเขาจะสามารถพาครอบครัวไปตั้งรกรากที่แคนาดาได้ก่อนเหตุการณ์ความรุนแรงนี้

หลังจากที่เรามาถึงท่ารถปลายทาง เราทั้งหมดก็เดินตามชายพื้นเมืองคนนั้น ซึ่งขึ้นรถเมล์คันเดียวกับเราเพื่อเดินทางกลับบ้านที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง แถมยังออกค่ารถให้เราด้วย ทั้งที่พวกเรายืนยันจะออกเอง แต่เขากลับปฏิเสธ และพูดแค่ว่า "Welcome to Syria" โดยไม่ลืมที่จะบอกทางก่อนเราลงรถอีกด้วย นี่ละ มิตรไมตรีที่ฉันได้รับจากคนซีเรีย ที่มีมากล้นและไม่ขาดสายต่อผู้มาเยือน

หลังจากล่ำลาเพื่อนชาวซีเรียได้ไม่นาน ก็ถึงเวลาที่ฉันต้องลาจากเพื่อนร่วมทางทั้งสอง แม้จะเป็นการผจญภัยในช่วงสั้นๆ แต่มันก็เพลินไม่น้อย หรือนี่คือสัญญาณที่บอกเป็นนัยๆ ว่า เมืองนี้น่าจะมีอะไรดีๆ รออยู่ ฉันคิดว่างั้นนะ

No comments:

Post a Comment