ในช่วงเวลาที่จิตตกและสับสน ฉันก็ได้รับของขวัญจาก "อ้อมน้อย" เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง (แม้จะมีความคิดที่เพี้ยนไปบ้าง แต่เป็นไปแบบสร้างสรรค์ และไม่มีพิษภัย) ด้วยความที่เป็นนักฟังที่ดี และเป็นนักอ่านตัวยง เธอจึงมักจะให้หนังสือที่สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ยากลำบากของเพื่อนได้อย่างเหมาะเหม็ง
"จะเล่าให้คุณฟัง" เป็นผลงานของนักจิตบำบัดชาวอาร์เจนตินา "ฆอร์เฆ่ บูกาย" ที่ใช้นิทานหรือเรื่องเล่าเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัด เรื่องเล่าในแต่ละตอน ทำให้หนุ่นน้อยเดเมียนได้คิดมากกว่าการใช้หลักการแบบจิตวิทยาในการอธิบายเสียอีก ฉันว่าฉันคงไม่ต่างอะไรไปจากเดเมียน มากนัก (นอกจากเพศและวัย!)
สิ่งที่ดูจะโหดร้ายที่สุดสำหรับมนุษย์คือ การติดกับดักทางความคิดของตัวเอง ที่อาจจะมาจากแบบแผนการอบรมเลี้ยงดู และสภาพแวดล้อม ซึ่งส่งผลต่อการมองตัวเอง และการวางตัวในสังคมในลักษณะที่แตกต่างออกไป รวมถึงความสามารถในการแก้ปัญหาเมื่อเข้าตาจน
การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอิสระทางความคิด และอิสระในการดำรง โดยไม่ต้องเอาตัวไปห้อยติดกับสังคมและคนรอบข้างนั้นไม่ง่ายนัก แถมอุปสรรคหรือขีดจำกัดที่เราสร้างขึ้นมา รวมถึงสภาพอารมณ์และจิตใจเมื่อต้องลงขับเคี่ยวในแต่ละสนามนั้นถือได้ว่าหินพอตัว และยิ่งเมื่อเราชอบทำตัวเป็นขั้วบวก ที่ชอบดึงดูดแต่อะไรด้านลบ หรือจิตตกเพราะคิดไว้ก่อนแล้วว่าความเลวร้ายกำลังเข้ามาอีก การต่อสู้ต้องหนักขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า
เรื่องเล่าของ ฆอร์เฆ่ น่าจะให้ข้อคิดอะไรดีๆ ได้ โดยไม่ต้องไปผวงกับอดีต หรือกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพียงแต่เราควรจะใส่ใจกับตัวตนในปัจจุบัน รับรู้ถึงปัญหา ทำความเข้าใจตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง เพราะเมื่อเราหยั่งรู้ในสิ่งนี้ กับดักทางความคิดก็จะถูกทำลาย
เรื่องไหนจะโดนใจใครมากสุด คงต้องขึ้นอยู่กับผู้อ่าน และสถานการณ์ในช่วงขณะนั้น ฉันชอบเรื่องกบน้อยในถังครีม ที่ "ไม่ยอมแพ้ เมื่อไม่ถึงที่แพ้" และเอาตัวรอดจากการเตะขาไปมาอย่างไม่คิดชีวิต จนครีมกลายเป็นเนย รวมถึงเรื่องเล่าแบบฮาฮา ของชายขี้ราดที่มีตอนจบสามแบบ เพื่อตอบคำถามเดเมียน หนุ่มขี้สงสัย เพื่อหาคำตอบในเรื่องวิธีจิตบำบัดที่เขาทำอยู่
แต่คุณเชื่อมั้ย ไม่ว่าวันของคุณจะเป็นแบบไหน หนักไปทางเศร้า เบาไปทางสุข ขาดสมดุลย์ในชีวิต แก้สมการไม่ตก หรือกกกอดกับความสุข ซุ้..ก สุข แบบล้นปรี่ ขอให้ "พึงรู้ไว้ว่าประเดี๋ยวเรื่องนี้ก็จะผ่านพ้นไปดุจกัน"
"จะเล่าให้คุณฟัง" เป็นผลงานของนักจิตบำบัดชาวอาร์เจนตินา "ฆอร์เฆ่ บูกาย" ที่ใช้นิทานหรือเรื่องเล่าเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัด เรื่องเล่าในแต่ละตอน ทำให้หนุ่นน้อยเดเมียนได้คิดมากกว่าการใช้หลักการแบบจิตวิทยาในการอธิบายเสียอีก ฉันว่าฉันคงไม่ต่างอะไรไปจากเดเมียน มากนัก (นอกจากเพศและวัย!)
สิ่งที่ดูจะโหดร้ายที่สุดสำหรับมนุษย์คือ การติดกับดักทางความคิดของตัวเอง ที่อาจจะมาจากแบบแผนการอบรมเลี้ยงดู และสภาพแวดล้อม ซึ่งส่งผลต่อการมองตัวเอง และการวางตัวในสังคมในลักษณะที่แตกต่างออกไป รวมถึงความสามารถในการแก้ปัญหาเมื่อเข้าตาจน
การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอิสระทางความคิด และอิสระในการดำรง โดยไม่ต้องเอาตัวไปห้อยติดกับสังคมและคนรอบข้างนั้นไม่ง่ายนัก แถมอุปสรรคหรือขีดจำกัดที่เราสร้างขึ้นมา รวมถึงสภาพอารมณ์และจิตใจเมื่อต้องลงขับเคี่ยวในแต่ละสนามนั้นถือได้ว่าหินพอตัว และยิ่งเมื่อเราชอบทำตัวเป็นขั้วบวก ที่ชอบดึงดูดแต่อะไรด้านลบ หรือจิตตกเพราะคิดไว้ก่อนแล้วว่าความเลวร้ายกำลังเข้ามาอีก การต่อสู้ต้องหนักขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า
เรื่องเล่าของ ฆอร์เฆ่ น่าจะให้ข้อคิดอะไรดีๆ ได้ โดยไม่ต้องไปผวงกับอดีต หรือกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพียงแต่เราควรจะใส่ใจกับตัวตนในปัจจุบัน รับรู้ถึงปัญหา ทำความเข้าใจตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง เพราะเมื่อเราหยั่งรู้ในสิ่งนี้ กับดักทางความคิดก็จะถูกทำลาย
เรื่องไหนจะโดนใจใครมากสุด คงต้องขึ้นอยู่กับผู้อ่าน และสถานการณ์ในช่วงขณะนั้น ฉันชอบเรื่องกบน้อยในถังครีม ที่ "ไม่ยอมแพ้ เมื่อไม่ถึงที่แพ้" และเอาตัวรอดจากการเตะขาไปมาอย่างไม่คิดชีวิต จนครีมกลายเป็นเนย รวมถึงเรื่องเล่าแบบฮาฮา ของชายขี้ราดที่มีตอนจบสามแบบ เพื่อตอบคำถามเดเมียน หนุ่มขี้สงสัย เพื่อหาคำตอบในเรื่องวิธีจิตบำบัดที่เขาทำอยู่
แต่คุณเชื่อมั้ย ไม่ว่าวันของคุณจะเป็นแบบไหน หนักไปทางเศร้า เบาไปทางสุข ขาดสมดุลย์ในชีวิต แก้สมการไม่ตก หรือกกกอดกับความสุข ซุ้..ก สุข แบบล้นปรี่ ขอให้ "พึงรู้ไว้ว่าประเดี๋ยวเรื่องนี้ก็จะผ่านพ้นไปดุจกัน"
No comments:
Post a Comment