Saturday, August 25, 2012

มิตรภาพในวงพิซซ่าที่ Cairo


พิซซ่าอียิปต์เป็นการผสมผสานแบบ East Meets West จริงๆ

เจ้าของโรงแรมที่ฉันพัก ชวนลาร์สและทาช่าคู่สามีภรรยาจากแคนาดาที่ไปผจญภัยในทะเลทรายด้วยกัน และฉันไปที่อพาทเมนต์เขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ไปดื่มไวน์แดงกัน แต่เพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เขาจึงแนะให้ซื้อพิซซ่าขึ้นไปกินคู่กัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเขายังแนะนำร้านพิซซ่าที่อยู่ไม่ไกลนัก แถมยังคุยด้วยว่า ร้านนี้ขายพิซซ่าในสไตล์อียิปต์ ที่ไม่เหมือนใครในโลก

“แล้วมันเป็นยังไงล่ะ” ฉันถามอย่างอดสงสัยไม่ได้

“เอางี้สิ ถ้าอยากรู้เธอก็ต้องไปดูเอง เดี๋ยวเธอไปกับแซมเพื่อนฉันคนนี้ แล้วถ้าใครจะเอาก็ฝากเธอซื้อ แล้วค่อยเจอกันที่อพาทเมนต์”

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉันจึงแยกออกมาจากกลุ่ม แล้วตามแซมไป แซม...หนุ่มอียิปต์ร่างเล็ก ชวนคุยไปและสูบบุหรี่ไปตลอดทาง ผู้ชายที่นี่ส่วนใหญ่เหมือนแซมคือสูบบุหรี่กัน “มวนต่อมวน” อย่างเมามัน แม้จะเดินไม่เร็ว แต่เมื่อแซมต้องพูดและสูบในเวลาเดียวกัน เล่นเอาพี่แกทั้งไอและหอบอยู่หลายครั้ง ก็ได้แต่ภาวนาในใจให้เขาอย่าเป็นลมหมดลมหายใจกลางทางนะ ได้โปรด...

ร้านพิซซ่าที่เขาพามา เป็นแค่ร้านเล็กๆ ริมถนน ที่มีโต๊ะอยู่ไม่เกินเจ็ดตัวเห็นจะได้ ด้านหน้าเป็นเหมือน showcase ที่จะมีพ่อครัวหนึ่งคนทำพิซซ่ามือระวิงกับออร์เดอร์จากลูกค้าที่ทั้งยืนและนั่งรอ ความหลากหลายของเมนู จะขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อ และขนาด ที่เหลือก็ดูเหมือนๆ กัน หลังจากสั่งพิซซ่าผ่านแซมแล้ว ฉันก็หันมาจดจ่อกับวิธีการทำ

มันเป็นพิซซ่าลูกครึ่ง ที่ครึ่งแรกดูคล้ายๆ มะตะบะ เริ่มจากตัดแป้ง dough ขนาดประมาณฝ่ามือ คลุกด้วยน้ำมัน จากนั้นก็จะคลึงและแผ่ออกจนเป็นแผ่นบางๆ อย่างที่เราเห็นเขาเตรียมแป้งทำโรตี แล้วใส่เนื้อสัตว์ปรุงสุกตามที่ลูกค้าสั่งตรงกลาง แล้วพับแป้งด้านข้างเก็บขอบ ยกใส่กระทะเหล็กแบน ส่วนครึ่งหลังนั้นจะคล้ายๆ การทำพิซซ่าทั่วไปคือ เขาจะราดซอสที่ทำจากมะเขือเทศด้านบน โรยด้วยมะกอกดำกับพริกหวานหั่นและชีสขูด จากนั้นเอาเข้าเครื่องอบให้ชีสหลอม และออกสีน้ำตาลคาราเมล แล้วจึงใส่กล่องหรือเสิร์ฟได้ แซมบอกว่าร้านนี้อร่อยมาก เช่นเดียวกับหนุ่มเดนมาร์กที่ยืนรออยู่ข้างๆ ก็ยืนยันเช่นเดียวกัน เพราะมาฝากท้องที่ร้านนี้หลายครั้ง จะว่าไป นี่ถือเป็นอาหารแก้ขัดได้อย่างดี สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอาหารพื้นเมือง ซึ่งมักจะมีส่วนผสมหลักอย่างถั่ว fava ใน Fuul หรือใน kushari ที่รวมเอาเส้นพาสต้าสั้นๆ ผสมกับข้าวและ lentil โรยด้วยหอมเจียว เสิร์ฟพร้อมกับซอสมะเขือเทศ

อพาทต์เมนต์ของเจ้าของโรงแรม อยู่ในตึกแบบ Colonial แม้จะดูเก่าไปหน่อยแต่ยังเห็นเค้าโครงที่สง่างามอยู่ ทุกคนกำลังนั่งจิบไวน์กันอยู่ตอนที่ฉันไปถึง ห้องของเขาค่อนข้างกว้างขวาง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง แถมยังมีลมพัดเอื่อยๆ เข้ามาเป็นระยะๆ เพราะอยู่เกือบชั้นบนสุด เมื่อแจกจ่ายพิซซ่าเรียบร้อย เราทั้งหมดชนแก้วกัน สำหรับมิตรภาพต่างถิ่นจากเพื่อนต่างมุมและต่างวัย

พิซซ่าของฉันเป็นรสเนื้อ (เข้ากับไวน์แดงพอดิบพอดี) รสชาติไม่หนักเหมือนพิซซ่าแบบที่เราคุ้นเคยกัน ด้วยความที่แป้งบางกว่า และชีสไม่เยอะเท่า ไม่ค่อยเลี่ยน นี่ถ้าฉันทำเองนะ จะใส่ใบกะเพรา หรือไม่ก็โรย oregano และพริกป่น เพิ่มความจี๊ดจ๊าดอีกเล็กน้อย

บรรยากาศเป็นไปอย่างสบายๆ และผ่อนคลายมากๆ ต่างคนต่างปล่อยมุขเด็ดตลอด ที่สำคัญ ทุกคนในที่นั้นต่างก็เป็นนักเดินทางตัวยง ไม่เฉพาะทาช่าและลาร์ส ยังรวมถึงสาวจากอังกฤษที่ชื่อแอนโทเนียด้วย (รู้สึกว่าจะเป็นกิ๊กกับเจ้าของโรงแรม) แต่ละคนต่างเล่าเรื่องราวการเดินทางที่ตัวเองประทับใจ ส่วนใหญ่จะเป็นยุโรป ฟังเพลินดี... ฉันไม่ได้ไปเหยียบยุโรปเป็นสิบปีแล้ว อาจจะเพราะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยท้าทายเท่าการเดินทางไปประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ทุกคนคิดว่ายุโรปยังมีอะไรๆ ที่น่าผจญภัยรออยู่ และพวกเขาลงความเห็นว่า ฉันน่าจะชอบเกาะ Stromboli ที่อิตาลี

ที่นั่นยังมีภูเขาไฟที่ยัง active หรือยังไม่ดับ และพร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ เขาบอกว่า ถ้าไปให้ทำทัวร์ภูเขาไฟ ที่จะต้องไปกับไกด์ผู้ชำนาญเส้นทางขึ้นภูเขาไฟเท่านั้น นอกจากนี้ ยังสามารถพายเรือคายัคไปรอบๆ เกาะและบางครั้ง อาจได้เห็นลาวาไหล่เอื่อยๆ ลงทะเลอีกด้วย ฟังดูเข้าท่าเหมือนกัน เขาจดชื่อเอาไว้ให้ด้วย แถมบอกให้ใส่ไว้ใน destination list ส่วนตัวกันลืมอีก มีงี้ด้วย 

นานมาแล้ว มีคนเคยพูดว่า Pizza alone is sad! ฉันเพิ่งเข้าใจก็วันนี้แหละ

No comments:

Post a Comment