Saturday, September 8, 2012

Food Coma in Seoul



มีเวลาเตรียมตัวหนึ่งอาทิตย์ก่อนไปเกาหลี ฉันเตรียมครบทุกอย่าง ยกเว้น เครื่องกันหนาวแบบเอสกิโมขั้นเทพ!

“เธอยังมีเสื้อกันหนาวอีกตัวรึเปล่า ข้างนอกหนาวมาก” นี่คือประโยคแรกที่เพื่อนฉันถามตอนมารับที่สนามบิน มันเป็นฤดูหนาวต้นปี 2011 ที่ว่ากันว่าหนาวที่สุดในรอบร้อยปี ซึ่งความหนาวมันทะลุทะลวงเข้าไปลึกถึงกระดูก สั่นสะท้านไปทั้งตัวเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อต้องปะทะกับลมที่เย็นเฉียบ

 
ไม่แคล้ว ฉันก็ต้องซื้อเสื้อผ้าเพิ่ม แถมเพื่อนยังสงเคราะห์ ช่วยบริจาคเครื่องนุ่งห่มบางส่วนให้อีกด้วย ทั้งนี้และทั้งนั้น เพื่อจะได้มีแรงต้านลมหนาวกับทัวร์ตะลอนกิน-กินของเรา

อึม...อาหารจานแรกที่เพื่อนฉันพามาประเดิมเรียกว่า soon dae gook หรือ ซุปไส้กรอกเลือดหมู ไม่ไกลจาก Insadong ย่านที่ฉันพักมากนัก ควันที่พวยพุ่งออกมาจากชาม ในร้านอาหารเล็กๆ ที่มีโต๊ะอยู่ไม่ถึงสิบตัว กลุ่มผู้ชายวัยเฉียดเลขห้าที่นั่งอยู่ด้านข้าง ตั้งวงดื่ม soju กันตั้งแต่ยังไม่ถึงเที่ยง สร้างบรรยากาศ(เหมือนในละคร)ได้ไม่ใช่น้อย

อาหารจานด่วนแบบเกาหลี ไม่เคยต้องฉายเดี่ยว แต่จะต้องมีเพื่อนเครื่องเคียงมาด้วยกันเสมอ แน่นอนว่าหนึ่งในเพื่อนซี้นั้น คงหนีไม่พ้น กิมจิ ตามด้วยผักดองอื่นๆ ซอสพริก พริกสด และหัวหอมหั่น ที่น่าสนใจอีกอย่างคือน้ำปลาแบบของเขา แต่แทนที่จะเป็นปลา กลับเป็นกุ้งตัวน้อยๆ ที่เอามาหมักกับเกลือ กลิ่นมันจึงไม่คาวนักเมื่อเทียบกับน้ำปลาบ้านเรา

น้ำซุปที่เข้มข้นและวุ้นเส้นที่อวบน้ำ ความเผ็ดของพริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายได้เป็นอย่างดี ไส้กรอกเลือดดูไม่ค่อยออกว่าเป็นไส้กรอก ชุ่มน้ำซุป ยากที่จะรับรู้รสชาติจริงๆ ของมัน เพื่อนบอกว่าเดี๋ยวจะพาไปกินอีกที่หนึ่ง อย่าเพิ่งรีบอิ่ม


เรามาต่อกันอีกที่ พร้อมกับมีเพื่อนมาสมทบอีกคน ไม่ไกลกันนักจากที่แรก เป็นแผงร้านเล็กๆ หลายร้านเรียงกัน ขนานไปกับทางด่วนที่อยู่ด้านบน ซึ่งขนาดของร้านจะเล็กกว่าร้านริมถนนหลัก แต่กลับคึกคักกว่า ย่านนี้เป็นย่านของหมู!

พอได้ร้านที่ดูถูกใจแล้ว แม้จะยังไม่ได้ที่นั่ง เราก็ลุยสั่งก่อนทันที คราวนี้ได้ลองไส้กรอกเลือดหมูเพียวๆ เครื่องในหมู และที่ขาดไม่ได้คือ soju... ไส้กรอกหมูทำมาจากเลือดหมู ยัดไส้ด้วย ข้าว วุ้นเส้น แม้จะไม่ได้นำไปทอด แต่ด้วยความที่เปลือกบาง แต่ละคำจึงแตกออกในปากแทบจะในคำแรกที่เคี้ยว ได้รสและกลิ่นอย่างกระเทียม ขิง น้ำมันงา และต้นหอม กินคู่กับผักดอง ช่วยตัดความเลียนได้ดี จะว่าไป ไขมันยังค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับไส้กรอกเลือดของทางยุโรป

สิ่งที่เราประเทศเอเชียมีเหมือนกันและถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งคือ street food ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหน โดยเฉพาะถนนเส้นหลักๆ หรือแหล่งช้อปปิ้ง ไม่ว่าจะหนาวแค่ไหน จะต้องเห็นซุ้มของกิน ทั้งคาวและหวาน ให้เราเลือกอย่างละลานตา จนบางครั้งอยากจะเนรมิตในตัวเองมีอีกสองกระเพาะจริงๆ


เราไปเดินย่อยในย่าน Insadong ต่อ ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่ที่ปัจจุบันกลายเป็นถนนคนเดิน และเต็มไปด้วยร้านขายของเก่า ของที่ระลึก แกลอรี่ และของกิน นี่ยังไม่นับตรอกซอยยิบย่อยรายทาง ที่มีร้านรวงเบียดเสียดเต็มพื้นที่ เราลอง Hotok หรือแพนเค้กสอดไส้ถั่วบดและน้ำผึ้ง ที่กรอบนุ่มหวานมัน ถัดมา ร้านขาย kkul ta rae ดูคล้ายสายไหม แต่เทคนิคการทำกลับคล้ายกับการทำเส้นก๋วยเตี๋ยว สายไหมเกาหลี(ที่บ้านเราก็มีขายนะ เหมือนเคยเห็น)จะสอดไส้ ไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสง วอลนัท หรือไม่ก็อัลมอนต์ ไว้ข้างใน จากนั้น เราเดินเข้าไปในร้านขายขนม rice cake หรือ tteok ที่มีให้เลือกสารพัดไส้ ความน่ารักอยู่ตรงที่ความหลากหลายทั้งรสชาติ รูปแบบ และโทนสี คล้ายกับขนมโมจิ แต่ตัวแป้งจะเหนียวนุ่ม หนึบหนับ ไส้ถั่วแดงที่ลองจะไม่หวานมาก เนื้อละเอียด กินกับชาร้อนคงดี


ช่วงหัวค่ำ เราไปกันต่อที่ร้านเนื้อย่างเกาหลี เราไม่ได้สั่งของมากมายนัก เพราะราตรีนี้ยังอีกยาวไกล สำหรับฉันออกจะไม่ใช่คอบาร์บีคิวสักเท่าไหร่ แต่ความหนาวเย็นจากข้างนอก ทำให้บาร์บีคิวกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แถมบรรยากาศที่นี่ดี พนักงาน และเจ้าของร้านดูเป็นกันเองมาก โดยเฉพาะกับเพื่อนเราที่เป็นคนเกาหลี เห็นเขาคุยกันอย่างออกรส

“ปลายอาทิตย์นี้ เขาพยากรณ์ว่าจะเป็นช่วงอุณหภูมิต่ำที่สุด และลมแรงด้วย” เพื่อนบอกให้เตรียมตัว อุณหภูมิต่ำๆ นี่ ฉันบ่ยั่นอยู่แล้ว แต่ถ้ามีลมแรงล่ะก็ คงต้องถอย เตรียมหาที่กินเที่ยวในร่มด่วน

เราตบท้ายด้วย Naeng Myun หรือหมี่เย็นที่เส้นทำจากแป้ง buckwheat (ทำจากการเมล็ดพืชชนิดหนึ่ง buckwheat กลับไม่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับธัญพืช แม้ว่าจะถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำขนมปัง หรือ บะหมี่ก็ตาม) แต่งหน้าด้วยซอส แตงกวา ลูกแพร หัวไชเท้าดองซอย ไข่ และงาขาว กับน้ำซุปพอคลุกคลิก เปรี้ยวนิด หวานหน่อย และเผ็ดเล็กๆ ผนวกกับความสดกรอบของแตงกวา แปลกดีเหมือนกัน เพราะคุ้นเคยแต่กับก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ Naeng Myun น่าจะเหมาะมากกับอากาศอย่างบ้านเรา เพื่อนบอกว่า เขาสั่งก๋วยเตี๋ยวมากินล้างความมันจากเนื้อย่างที่เรากินไป


พอจ่ายเงินเสร็จ เพื่อนฉันคนหนึ่งพยายามจะให้ทิปพนักงานที่ดูแลโต๊ะเรา แต่พนักงานกลับปฏิเสธอย่างสุภาพ และไม่ยอมรับท่าเดียว จริงๆ แล้ว การให้ทิปกับพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารในเกาหลี ไม่ใช่วัฒนธรรมของเขา และถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติสำหรับลูกค้า แต่ด้วยความที่เพื่อนคนนี้ไปทำงานที่อเมริกา ต้นแบบวัฒนธรรมที่ต้องให้ค่าทิปทุกครั้ง (พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารที่อเมริกาอยู่ได้ก็ด้วยค่าทิป เพราะได้ค่าแรงรายชั่วโมงน้อยมาก หรืออาจไม่ได้เลยในบางที่) คงจะชินและอยากให้ สงสารแต่พนักงานที่มีทีท่ากระอักกระอ่วน เพราะเจ้าของร้านมองอยู่ แต่สุดท้ายเจ้าของร้านจึงตัดบทบอกให้พนักงานของเขารับเงินจากเพื่อนฉันไป เพื่อนอีกคนถึงกับส่ายหน้า และเดินมากระซิบบอกว่า “ฉันรู้สึกอายกับการกระทำของเพื่อนคนนี้จริงๆ”


ยิ่งดึกดูเหมือนจะยิ่งคึกคักสำหรับร้านค้าริมทาง ไอน้ำที่มาจากการอุ่นหรือทอดอาหาร ลอยออกมาบางๆ จากรถเข็น หรือซุ้มเหล่านั้น ภาพด้านในที่ดูเลือนลาง เมื่อมองผ่านพลาสติกใสที่ปิดเพื่อกันลม เราเดินเข้าออกสำรวจว่าแต่ละร้านมีอะไรน่าสนใจบ้าง ก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปจ่อร้านๆ หนึ่งที่มีคนยืนกินหนาตา



เราสั่ง Ddeokbokki และ fish cake มาเสริมกำลัง ตัวเอกของร้านต่างๆ คงเป็น Ddeokbokki คลุกกับซอสสีแดงเด่นเป็นสง่า ทำมาจากแป้งข้าวเจ้า ผัดด้วยซอสพริก เสิร์ฟบนจานเล็กที่ครอบด้วยถุงพลาสติกอีกทีหนึ่ง จะได้ไม่ต้องล้างทำความสะอาดจานท่ามกลางความหนาวเหน็บแบบนี้ ส่วน fish cake เขาจะเสียบไม้ไว้ และต้มในน้ำซุป จะยืนกินจากไม้ หรือจะให้เขาตัดเป็นชิ้นพอคำก็ได้ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำซุปคู่กันลื่นคอดี

แม้อากาศแบบนี้จะทำให้เราไม่ได้เที่ยวอะไรมากนัก แต่การได้มาสังสรรค์กับเพื่อนๆ พร้อมกับได้ชิมอาหารที่เป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมเขาขึ้นมา เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ ที่บางครั้งอาจจะมีค่ามากกว่าการไปเที่ยวเสียอีก เพราะจะมีสักกี่ครั้งที่เส้นทางชีวิตของพวกเราจะได้มาพาดผ่านที่จุดเดียวกันแบบนี้อีก คงไม่มีใครบอกได้

No comments:

Post a Comment