กรุงโซลถือว่าเป็นเมืองในฝันอีกเมืองนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบขนส่งมวลชน เริ่มตั้งแต่รถเมล์สารพัดสายจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมือง ซึ่งเราสามารถสอบถามเส้นทางจากเจ้าหน้าที่ที่สนามบินได้ ที่ป้ายรถเมล์อย่างในตัวเมือง จะมีป้ายบอกว่าเหลืออีกกี่นาทีกว่ารถสายที่เรารออยู่จะมาถึง ซึ่งค่อนข้างตรงเวลา และแม่นยำ เพื่อนฉันยังขยายความต่อด้วยว่า คนที่นี่ยังสามารถใช้มือถือตรวจสอบ และติดตามว่ารถเมล์จะมาถึงป้ายตอนกี่โมง ซึ่งอันนี้มีประโยชน์มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว
ในขณะที่ รถไฟใต้ดินเองก็ทันสมัย เชื่อมต่อกัน แถมมีมากกว่าสิบสาย ทำให้การเดินทางไปยังส่วนต่างๆ นั้นดูเป็นเรื่องง่าย ในแต่ละตู้ขบวน เขายังจัดที่นั่งเฉพาะผู้สูงวัย และตามมารยาท(และวินัยที่เคร่งครัดของคนของเขาเอง) จะไม่มีใครไปนั่ง หรือถ้ามีคนหนุ่มสาวนั่งอยู่ในที่สงวนไว้ แล้วมีผู้สูงอายุเดินเข้ามา แต่ละคนก็จะลุกขึ้นในทันที ราวกับติดสปริงไว้ที่ก้นยังไงยังงั้นเลย
ฉันกับเพื่อนนั่งรถไฟใต้ดินมาที่ตลาด Noryangin ซึ่งเป็นตลาดขายสินค้าทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโซล ที่นี่มีร้านค้ามากกว่าเจ็ดร้อยร้าน ขายทุกอย่างตั้งแต่ปลา กุ้ง ปลาหมึก หอย ปู เฮอ! เกินกว่าจะสาธยายได้หมดจริงๆ
แม้เรามาที่นี่ตอนย่ำค่ำแล้ว แต่ร้านค้ายังเปิดอยู่หลายร้าน เพราะเขาเปิดตลอดวัน และว่ากันว่า ที่นี่จะจัดให้มีการประมูลสินค้าในแบบค้าส่งตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ (เสียดายที่เราตื่นกันไม่ไหว ไม่งั้นคงได้เห็นบรรยากาศการซื้อขายที่คึกคักมากกว่าตอนที่เราไปถึง)
ภายในตลาดเอง แม้ว่าพื้นจะแฉะ แต่ไม่ได้ดูสกปรกแต่อย่างใด แต่ละร้านจะจัดวางสินค้าของตนอย่างเป็นระเบียบสวยงาม บ่อน้ำที่ใส่เจ้าสิ่งมีชีวิตจากท้องทะเลดูสะอาดสะอ้านและใสแจ๋ว
พวกเราเดินสำรวจไปรอบๆ ฉันว่ามันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดินใน Aquarium อีกนะ เพราะเราได้เห็นอะไรที่เรามักจะไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก อย่างปลิงทะเลตัวอ้วนกลมหลายสายพันธุ์ เคยเห็นแต่ที่เขาเอามาอบแห้งเก็บใส่โหลแก้วในร้านยาจีน ซึ่งเชื่อกันว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการไขข้อเสื่อมได้ ปลากระเบน นอนแผ่หราเรียงทับซ้อนเป็นระเบียบ รอให้ลูกค้าเลือก ปลาสดๆ แหวกว่ายอย่างเชื่องช้าในบ่อ
ตอนแรกว่าจะลองปลาหมึกสดของที่นี่ แต่จำไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่เลือก พวกเรามาลงเอยที่ปลา rockfish สองตัว และหอยนางรมอีกหนึ่งโหลแทน
ในบริเวณรอบๆ จะมีร้านอาหารที่พร้อมปรุงและเสิร์ฟอาหารทะเลที่เราเพิ่งจะซื้อได้ทันที ร้านที่เราเข้าไปเป็นร้านที่ต้องนั่งกับพื้น จะมีโต๊ะเรียงเป็นแถวติดกัน ขนานไปกับบานประตูทางเข้า ระหว่างที่รออาหาร จะมีเด็กเดิน soju มาคอยรับออร์เดอร์จากเราด้วย
รอไม่ถึงสิบนาที เราก็ได้ rockfish sashimi หรือปลาดิบฝานบางๆ หนึ่งจาน และหอยนางรมที่ล้างสะอาด แกะฝาออกเรียบร้อย เวลาทานเขาจะหยิบผักใบๆ มาหนึ่งชิ้น คลื่ลงบนฝ่ามือ วางเนื้อปลาลง ตามด้วยกระเทียมซอย พริกสด และซอสพริกเกาหลี ที่มาพร้อมกับซีฟู้ด ห่อเป็นคำ อืมมมม... มันเป็นความอร่อยบนพื้นฐานของความสด เรียบง่าย แต่รสชาติได้ใจพี่นัก
ส่วนกระดูกและหัวปลาหลังจากการชำแหละแล้ว เขาไม่ได้ทิ้งนะ แต่เอามาทำน้ำแกงที่เรียกว่า Maeuntang ให้เราต่อ ซึ่งจะเสิร์ฟหลังจากนั้น ดีจริงๆ เพราะกำลังต้องการอะไรร้อนๆ อยู่พอดี
ขณะที่เรากำลังเมามันกับการกินและคุยกัน จู่ๆ กุ้งจากโต๊ะข้างๆ ก็ลอยละลิ่วมายังโต๊ะของเราเฉยเลย คนแกะเป็นสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม และยิ่งแดงขึ้นตอนขอโทษ พวกเราจึงแลกเปลี่ยนอาหารกันเล็กน้อย เราให้หอยนางรม เขาให้กุ้งเรา เรียกได้ว่ามิตรภาพเกิดเพราะกุ้งเต้น
เพื่อนฉันแอบบ่นให้ฟังทีหลังว่า แม้ปลาและหอยที่เราซื้อมาจะไม่แพงนัก แต่การมานั่งกินในร้าน กับค่าปรุงอาหารที่เราซื้อมากลับสวนทางกัน แถมเพื่อนยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่า sashimi ที่เขาแล่ให้เรา ดูออกจะน้อยไปไม่สมกับปริมาณปลาที่เราซื้อมาถึงสองตัว แต่พวกเราไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย เพราะเราเลือกที่จะจดจำในส่วนที่ดีที่ประทับใจ ทั้งสถานที่และบรรยากาศในวันนั้น น่าเสียดายนิดเดียวตรงที่ ความทรงจำในเรื่องของกลิ่นและรสชาติดูจะจางเร็วกว่าภาพที่ฝังตาฝังใจ แต่มันคงไม่ยากที่จะกระตุ้นโสตประสาทนั้นๆ หากได้กลับไปเยือนอีกครั้ง
No comments:
Post a Comment