Wednesday, September 28, 2011

หลงจนเจอ(ของ)ดี


คงไม่มีใครไม่เคยหลงทางเวลาไปต่างบ้านต่างเมือง (นอกจากจะมีคนรู้จักหรือไกด์พาไป) แต่คราวนี้ ฉันเริ่มกลัวๆ เพราะดันลืมแผนที่ไว้ที่ห้อง ถึงแม้จะจำได้เลาๆ ว่า Museo Mural Diego Rivera อยู่บนถนนเส้นไหน ใน Mexico City แต่พอโผล่ขึ้นมาจาก subway ฉันก็มึนไปเลย บอกไม่ได้ว่าตัวเองอยู่พิกัดไหน แล้วต้องไปยังไงต่อ


ที่ฉันอยากมาที่นี่เพราะว่า อยากมาดูภาพวาด fresco ที่เป็น master piece ของ Diego Rivera ที่ชื่อ “Dream of a Sunday Afternoon in Alameda Park” หรือ “Sueno de una tarde dominical en la Alemeda Central” ซึ่งเป็นภาพเขียนที่ยาวถึง 50 ฟุต เกี่ยวกับบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเม็กซิโกถึงสามยุค ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Frida ที่ Salma Hayek แสดง ศิลปินคนนี้แหละคือสามีของ Frida Kahlo

ถนนหนทางโดยรอบสถานีนั้น ไม่ต่างจากบ้านเรานัก ผู้คนเต็มทางเท้า ร้านค้าปลีกย่อยก็เยอะ บางทีก็ต้องเดินบนขอบถนนบ้าง กลิ่นอาหารพวยพุ่งมาทั่วทุกสารทิศ อ้า! ยั่วน้ำลายและน้ำย่อยจริงๆ เอาล่ะ คงได้เวลาลองของ

ฉันมาหยุดที่ร้านเล็กๆ ร้านนึง ขนาดเท่าๆ กับร้านขายน้ำข้างทางบ้านเราดีๆ นี่เอง แล้วมีที่นั่งอยู่ด้านหน้า ร้านนี้ขาย taco ถ้าเปรียบก็คงคล้ายๆ กับ sandwich นะ แต่เขาใช้แผ่นแป้ง tortilla ที่ทำมาจากข้าวโพด เป็นแผ่นแบนกลมๆ เล็กๆ แล้วก็ใส่ผัก เนื้อ หรือไส้กรอกตามแต่จะเลือก จากนั้นก็พับครึ่งก่อนเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม พี่คนขายให้ฉันตักน้ำจิ้มได้ไม่อั้น แต่ก็เตือนว่าน้ำจิ้มสีเขียวนี่เผ็ดมาก แต่นี่แหละที่เด็ดสุด แซบได้ใจ

ฉันพยายามถามทางคนขายเหมือนกันว่า museum ที่กำลังจะไปอยู่ไหน แต่ก็ไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ ก็พี่เขาเล่นพ่นเป็น Spanish ใส่ โอ้! อยากได้แผ่นโปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติด่วน... พอเขาเห็นฉันนั่งหน้าเหวอ ก็หัวเราะใหญ่ เอาน่า.. อย่างน้อยก็ช่วย entertain คนพื้นที่ได้บ้าง สงสัยหมดหวัง ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินเล่นอีกแป๊บ แล้วกลับที่พักเลย

ไม่ไกลจากร้าน taco ฉันเริ่มได้ยินเสียงดนตรี เป็นกีต้าร์คลาสสิกแว่วเข้ามา มันคืออะไร หรือว่าจะมีงานอะไรรึเปล่าน้า ขาฉันไวกว่าความคิด สาวเท้าไปตามคลื่นมหาชนที่อยู่ข้างทางอย่างไม่ลดละ

ต้นตอของเสียงมาจากหลืบเล็กๆ ด้านในเป็นตึกสองชั้นแบบ colonial ที่มีตึกโอบล้อมทั้งสี่ด้าน โดยตรงกลางจะเป็นลานโล่ง ทันทีที่ฉันก้าวเข้ามาที่นี่ – La Hosteria del Bohemio – มันเหมือนกับอีกโลกหนึ่ง ที่ดูสงบ และสบายตา หูฉันเหมือนถูกบล็อกจากเสียงด้านนอกที่อื้ออึงด้วยผู้คนและรถรา ด้วยดนตรีที่กังวาน หรือว่าฉันได้ข้ามเวลากลับไปในอดีต?



สิ่งที่พิสูจน์ว่า ฉันยังติดอยู่กับปัจจุบันคือ ด้านหนึ่งของตึก มีเวทีเล็กๆ และมีผู้ชายกำลังบรรเลงเพลงรักแบบเม็กซิกัน (เคยเห็นในหนังก็เลยเดาว่าเป็นเพลงรักน่ะ) และตรงทางเดินนั้นขนาบข้างด้วยโต๊ะเก้าอี้ไม้ตัวจิ๋ว บนโต๊ะก็มีตะเกียงด้วย นี่มันร้านอาหารหรือเปล่า ไม่รู้ล่ะ ขอนั่งฟังเพลงก่อน

พอเพลงจบ บริกรที่ดูเท่เด่นเป็นสง่าในชุดสูทสีขาวผูกหูกระต่ายสีดำ เดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับยื่นเมนูที่เป็น Spanish มาให้ อึม...ต้องขอความช่วยเหลือกันเล็กน้อยให้เขาแนะนำเครื่องดื่มให้ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย




ที่อยู่ตรงหน้าเป็น Ice Coffee with a Scoop of Mexican Chocolate Ice Cream ความพิเศษอยู่ที่ไอศกรีมนี่ล่ะ ที่โดยทั่วไปจะเป็นสีน้ำตาลออกเข้มหน่อยๆ แต่ที่นี่จะออกเป็นสีอิฐ แล้วรสชาติ... ขอบอกเลยว่าเป็นที่สุดของที่สุด เพราะความเข้มถึงรสช็อคโกแลตมากกว่าปกติเท่าที่เคยลิ้มลอง หอมละมุนลิ้น แล้วบรรยากาศก็ดี เหมือนขึ้นสวรรค์... ช็อคโกแลตที่เม็กซิโกนี่ขึ้นชื่อสมคำล่ำลือจริงๆ

ฉันคงมาก่อนเวลาพอสมควร เพราะนั่งไปเกือบชั่งโมงถึงจะมีลูกค้าอีกคนเข้ามา เป็นคุณลุงที่มานั่งอยู่โต๊ะติดกัน เขาหันมายิ้มแล้วชวนคุย ท่าทางเป็นคนที่น่าจะมีเรื่องราวในชีวิตเยอะและน่าสนใจ แต่เราก็ดันสื่อสารกันได้ไม่มากนัก เฮอ! เสียดาย

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อย บริกรคนเดิม ก็เริ่มเดินจุดตะเกียงตามโต๊ะ ไฟตามหัวมุมสว่างขึ้น และแล้วลูกค้าก็เริ่มทยอยเข้ามา ไม่มาเดี่ยวอย่างฉันหรือคุณลุงข้างๆ แต่สามัคคีกันควงคู่ ทุกคนแต่งตัวเหมือนจะไปออกงาน ผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว หรือกางเกงยีนส์ รองเท้าหนัง และที่ขาดไม่ได้คือ หมวกคาวบอย ส่วนคุณผู้หญิง ถ้าไม่ใส่เป็น dress ก็จะใส่กระโปรงยาว แต่ละคู่ต่างก็ยิ้มแย้มให้กัน บ้างก็โอบกอดกัน บ้างก็ลุกขึ้นมาเต้นรำหน้าเวที ฉันถูกโอบล้อมไปด้วยความหวานของคู่รัก ความหวานของบทเพลง เป็นความสุขใจอีกแบบที่ฉันได้อานิสงค์จากคนเหล่านั้น

ฉันไม่เสียใจนะที่หลงทางวันนั้น ไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ไม่ได้เห็นภาพวาดที่สำคัญภาพหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งมันก็คงเทียบไม่ได้กับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า กับปัจจุบันที่ไม่หยุดนิ่ง ได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดรับรู้ ฉันว่าภาพในวันนั้นยังคงฝั่งแน่น และยังทำให้ฉันยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง

No comments:

Post a Comment